เมื่อวันที่ 13-15 กรกฎาคม 2568 นายธนวัต ศิริกุล เอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร พร้อมด้วยข้าราชการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร เดินทางไปราชการที่เขตการปกครอง South Sinai โดยได้เข้าเยี่ยมคารวะและพบหารือกับพลตรี ดร. Khaled Mubarak ผู้ว่าการเขตการปกครอง South Sinai เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 โดยเอกอัครราชทูตฯ กล่าวชื่นชมผู้ว่าการฯ ที่สามารถบริหารจัดการและพัฒนาเมือง Sharm El Sheikh ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและดำน้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีโรงแรมต่าง ๆ ตั้งอยู่มากกว่า 200 แห่ง สามารถรองรับนักท่องเที่ยวกว่า 2.5 ล้านคนต่อปี อีกทั้ง เป็นสถานที่จัดการประชุมนานาชาติที่สำคัญ อาทิ COP27 และ World Youth Forum นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ การขยายห่วงโซ่อุปทานในด้านความมั่นคงทางอาหาร และการเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับประชาชนของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากขึ้น โดยผู้ว่าการฯ เห็นพ้องว่า มีหลากหลายสาขาที่ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมมือกัน รวมถึงการจัดทำความตกลงเมืองพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่าง South Sinai กับจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นิยมของไทย ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ยังได้ชื่นชมบทบาทของอียิปต์ในการเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาค และขอบคุณสำหรับการให้ความช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยด้วย
ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน เอกอัครราชทูตฯ ได้พบปะกับผู้แทนชุมชนไทยที่ทำงานอยู่ที่เมือง Sharm El Sheikh ซึ่งเป็นพนักงานนวดสปาและพ่อครัวในโรงแรมชั้นนำต่าง ๆ ที่ร้านอาหารศาลาไทย และได้สอบถามถึงความเป็นอยู่และอุปสรรคในการทำงาน ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่พึงพอใจกับงานและค่าจ้างที่ได้รับ อีกทั้งได้รับทราบว่า โรงแรมต่าง ๆ ในเมือง Sharm El Sheikh ยังต้องการจ้างคนไทยเพิ่มเพื่อทำงานในสปา เนื่องจากคนไทยมีความเชี่ยวชาญและมีอุปนิสัยดี โดยเอกอัครราชทูตฯ ได้ย้ำกับคนไทยถึงความสำคัญในการเป็นผู้แทนของประเทศและมีส่วนร่วมในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในสายตาของชาวอียิปต์ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยว นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้เสนอให้มีการจัดตั้งสมาคมคนไทยใน South Sinai อย่างเป็นทางการ เพื่อช่วยกันปกป้องและคุ้มครองผลประโยชน์ของคนไทยในพื้นที่ ตลอดจนหารือถึงโอกาสในการจัดกิจกรรมเผยแพร่วัฒนธรรมไทยใน South Sinai
เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 เอกอัครราชทูตฯ และคณะฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมอารามเซนต์แคทเธอรีน (St. Catherine Monastery) ซึ่งเป็นอารามที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังมีการใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบัน ตั้งอยู่บนเทือกเขา Sinai เริ่มก่อสร้างในศตวรรษที่ 5 ภายในอารามมีพิพิธภัณฑ์และหอสมุดที่เก็บรักษาโบราณวัตถุและหนังสือเก่าที่ล้ำค่ามากมาย นอกจากเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาคริสต์แล้ว อารามดังกล่าวยังมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของศาสนาคริสต์ อิสลาม และยูดาย โดยเมื่อปี ค.ศ. 2002 องค์กรยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้อารามแห่งนี้เป็นแหล่งมรดกโลก ในระหว่างการเยือน เอกอัครราชทูตฯ ได้เยี่ยมคารวะบาทหลวง Akakios ตำแหน่ง Secretary of St. Catherine Monastery พร้อมทั้งได้พบปะกับผู้แทนจากสภาเทศบาลเมือง St. Catherine และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงโครงการ Mega Project ในบริเวณใกล้เคียงกับอาราม ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างโรงแรมที่พักขนาดใหญ่ มีห้องพักมากกว่า 1,000 ห้อง โครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Great Transfiguration” ที่รัฐบาลอียิปต์ภายใต้ ประธานาธิบดี Al Sisi ตั้งใจจะมอบเป็นของขวัญให้แก่โลกและทุกศาสนา เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 2022 โดยใช้งบประมาณกว่า 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมการก่อสร้างถนนเพื่อเชื่อมต่อเมือง St. Catherine กับเมืองตากอากาศต่าง ๆ ในบริเวณทะเลแดง การก่อสร้างโรงแรมที่พักจำนวนมากและยานที่พักอาศัยแห่งใหม่ (Zaitouna) การก่อสร้างศูนย์การประชุมและห้างสรรพสินค้า ตลอดจนระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยรัฐบาลอียิปต์พยายามเร่งก่อสร้างให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้
เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2568 เอกอัครราชทูตฯ และคณะฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมด่านข้ามแดน Taba ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายแดนอียิปต์-อิสราเอล และสามารถมองเห็นดินแดนของประเทศจอร์แดนและซาอุดีอาระเบียที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของอ่าว Aqaba โดยมีเจ้าหน้าที่ของ National Security Agency ประจำ Taba ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ด่านข้ามแดน Taba เป็นช่องทางเดียวสำหรับการข้ามแดนระหว่างอียิปต์-อิสราเอล ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ General Authority for Land and Dry Ports (ฝั่งอียิปต์) ชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในอิสราเอลนิยมใช้ด่านดังกล่าวเพื่อเข้ามาท่องเที่ยวตามเมืองตากอากาศต่าง ๆ ใน South Sinai ปัจจุบันมีจำนวนคนที่ข้ามแดนผ่านช่องทาง Taba ประมาณ 3,000-4,000 คนต่อวัน ในช่วงสงคราม 12 วัน มีบางประเทศที่ใช้ช่องทางดังกล่าวในการอพยพคนออกจากอิสราเอลด้วย