ข้อมูลประเทศซูดาน

ข้อมูลประเทศซูดาน

วันที่นำเข้าข้อมูล 12 มิ.ย. 2563

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 8,782 view

ข้อมูลทั่วไป

ที่ตั้ง ตั้งอยู่ระหว่างภูมิภาคแอฟริกาและตะวันออกกลาง และมีพรมแดนติดกับอียิปต์ ลิเบีย ชาด สาธารณรัฐแอฟริกากลาง เอริเทรีย เอธิโอเปีย และซูดานใต้ 

พื้นที่ 1.88 ล้านตร.กม. 

เมืองหลวง กรุงคาร์ทูม (Khartoum) 

ประชากร 35.9 ล้านคน (2555) 

ภูมิอากาศ ร้อนแห้งแล้งแบบทะเลทราย 

ภาษา อารบิก และอังกฤษ 

ศาสนา อิสลาม (สุหนี่) ร้อยละ 70 ความเชื่อดั้งเดิมร้อยละ 25 คริสต์ร้อยละ 5    

วันชาติ 1 มกราคม 

ระบอบการเมือง ระบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐและผู้นำรัฐบาล 
 
ประธานาธิบดี นายโอมาร์ ฮาซัน อาห์หมาด อัล บาเชียร์ (Omar Hassan Ahmad al-Bashir) ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 30 มิถุนายน 2542
 
รัฐมนตรีต่างประเทศ นายอาลี อาห์เหม็ด คาร์ติ (Ali Ahmed Karti) ดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2553

เว็บไซต์ทางการ www.sudan.gov.sd
 
หน่วยเงินตรา ปอนด์ซูดาน (SDG) 1 SDG = 7.28 บาท (11 ธันวาคม 2556)
 
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 42.823 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ (2556)
 
รายได้ประชาชาติต่อหัว 2,373 ดอลล่าร์สหรัฐ (2556)
 
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 2.8 (2556)
 
อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 18.7 (2556)
 
เงินทุนสำรอง 202 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (2556)
 
อุตสาหกรรมที่สำคัญ น้ำมัน ฝ้าย สิ่งทอ ซีเมนต์ น้ำมันพืช น้ำตาล สบู่ รองเท้า การกลั่นน้ำมัน เวชภัณฑ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ ยานยนต์
 
สินค้าส่งออกสำคัญ น้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ฝ้าย งา ปศุสัตว์ ถั่วลิสง ยางอารบิก น้ำตาล
 
สินค้านำเข้าสำคัญ อาหาร สินค้าอุตสาหกรรม อุปกรณ์ในการกลั่นและการขนส่ง เวชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ สิ่งทอ ข้าวสาลี
 
ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ส่งออกไปจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย นำเข้าจากจีน ซาอุดิอาระเบีย อียิปต์ อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
 
ประวัติศาสตร์โดยสังเขป
ตั้งแต่ก่อนคริสตกาลดินแดนซูดานเดิมเป็นที่ตั้งของแคว้นนูเบีย และปกครองโดยระบอบกษัตริย์ ชนพื้นเมืองดั้งเดิมเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ จับปลา ภายหลังจึงเริ่มทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ในศตวรรษที่ 6 แคว้นนูเบียได้แบ่งดินแดนออกเป็น 3 เมือง ประกอบด้วย Nobatia อยู่ทางตอนเหนือปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอียิปต์ Muqurra ปัจจุบันอยู่บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของซูดาน และ Alawa (Alodia) ปัจจุบัน คือ บริเวณกรุงคาร์ทูม โดยกษัตริย์นูเบียที่ปกครองทั้งสามดินแดนนี้นับถือศาสนาคริสต์ ในศตวรรษที่ 7 ชาวอาหรับเริ่มเข้ามาทำการค้าโดยเฉพาะงาช้างและแรงงานทาส ดินแดนแถบนี้จึงได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลามมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการแต่งงานระหว่างพ่อค้าชาวอาหรับและชนพื้นเมืองจำนวนมาก และทำให้กษัตริย์นูเบียในสมัยต่อมานับถือศาสนาอิสลาม ส่วนประชากรนั้นเป็นมุสลิมโดยกำเนิด โดยประชากรเมือง Makuria นับถือศาสนาคริสต์ ส่วนเมือง Nobatia และ Alodia นับถือศาสนาอิสลาม ต่อมามีการก่อกบฏภายในราชวงศ์กันเอง ประกอบกับมีผู้รุกรานชาว Funj ที่เป็นทุสลิมเข้าบุกรุกพื้นที่ส่งผลให้การปกครองของนูเบียอ่อนแอลง และในปี 2363 นาย Mohammad Ali Pasha ผู้นำชาวอียิปต์ได้บุกโจมตีและสามารถยึดครองแคว้นนูเบียหรือบริเวณตอนเหนือ ของซูดานได้สำเร็จ อียิปต์ได้เข้ามาพัฒนาพื้นที่โดยเฉพาะในด้านระบบชลประทานและริเริ่มการปลูก ฝ้าย

 

 

ประเทศมหาอำนาจเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในซูดานในปี 2422 และอังกฤษได้เข้ามาปกครองซูดานในปี 2425 โดยมอบหมายให้รัฐบาล Khedival เข้าปกครองซูดาน แต่ด้วยการบริหารงานที่ผิดพลาด ตลอดจนการคอร์รัปชั่นทำให้ชาติตะวันตกเริ่มต่อต้านระบบการค้าทาส และทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในเวลาต่อมา ด้วยเหตุนี้การเสื่อมถอยของระบบการปกครองเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการสร้างกอง กำลัง Mahdist นำโดยนาย Muhammad Ahmak ibn Abd Allah โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิวัติต่อต้านรัฐบาลและขับไล่ชาวตะวันตกออกจาก พื้นที่ และในปี 2428 นาย Mahdi ได้ขับไล่ชาวอิยิปต์และอังกฤษได้สำเร็จและก่อตั้งระบอบ Mahdiyah (Madihst regime) ซึ่งสนับสนุนให้ประชาชนนับถือศาสสนาอิสลาะและยินดีใช้หลักกฎหมายอิสลามในการ ปกครองประเทศ หลังจากที่ปกครองซูดานได้ไม่นานนาย Mehdi ล้มป่วยและเสียชีวิตลง

หลังจากนั้นไม่นาน อังกฤษตัดสินใจเข้ายึดครองซูดานอีกครั้ง และ สนับสนุนให้เกิดกองกำลัง Anglo-Egyptian นำโดย Herbert Kitchener เพื่อทำลายอำนาจของระบอบ Mahdist ในปี 2442 ซูดานได้ลงนามในความตกลง Anglo-Egyptian ยินยอมให้อังกฤษเข้ายึดครองดินแดน และให้อียิปต์เป็นผู้คัดเลือกผู้นำชาวซูดาน อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจต้องได้รับความเห็นชอบจากอังกฤษ

ชาวซูดานไม่ต้องการอยู่ภายใต้อาณานิคมอังกฤษและพยายามเรียกร้องเอกราช ทำให้ในปี 2467 อังกฤษจึงมีนโยบายแบ่งแยกการปกครองซูดานใต้ออกจากซูดานเหนือ และ หลังจากเกิดการปฏิวัติในอียิปต์ อียิปต์และฝรั่งเศสจึงยินยอมให้ซูดานเป็นเอกราชในวันที่ 1 มกราคม 2499 ภายใต้การใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ผ่านการให้สัตยาบันในปี 2497 การปกครองภายหลังจากได้รับเอกราช รัฐบาลปกครองโดยระบบทหารและประชาธิปไตย และมีผู้นำทางการเมืองมาจากภาคเหนือของประเทศซึ่งเป็นชาวมุสลิม และเป็นจุดเริ่มต้นความขัดแย้งอันยาวนานระหว่างซูดานเหนือและซูดานใต้กว่า 17 ปี เนื่องจากชาวซูดานใต้ไม่ต้องการอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองโดยชาวมุสลิมทาง ซูดานเหนือ

ความขัดแย้งแระหว่างซูดานเหนือและซูดานใต้ นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2499 ซูดานตกอยู่ภายใต้ภาวะสงครามกลางเมืองมาโดยตลอด สงครามกลางเมืองช่วงแรกสิ้นสุดลงเมื่อปี 2515 ถัดมาอีก 11 ปี สงครามกลางเมืองครั้งที่สองก็เริ่มขึ้นใหม่ในปี 2526 เนื่องจากรัฐบาลซูดานภายใต้การนำของประธานาธิบดี Gaafar Nimeiry ประกาศใช้กฎหมายอิสลาม (Sharia Law) เพื่อบริหารประเทศรวมทั้งซูดานตอนใต้ ทำให้ชาวซูดานตอนใต้ที่ส่วนใหญ่เป็นนับถือศาสนาคริสต์และความเชื่อดั้งเดิม รวมตัวกันจัดตั้งเป็นกองกำลังต่อต้าน เรียกว่า Sudan People's Liberation Movement (SPLM) นำโดยนาย John Garang และปฏิเสธที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลนาย Nimeiry และทำสงครามต่อต้านรัฐบาลมาเป็นเวลายาวนานกว่าสองทศวรรษ ส่งผลให้เกิดผู้พลัดถิ่นกว่า 4 ล้านคน และเสียชีวิตอีก 2 ล้านคน จนในที่สุดเมื่อเดือนมกราคม 2548 ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุความตกลงสันติภาพแบบเบ็ดเสร็จ (Comprehensive Peace Agreement: CPA)[1] ระหว่างกัน ฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ตกลงให้มีการตั้งโครงสร้างการปกครองที่ทั้งสองฝ่ายมี ส่วนร่วม เช่น ให้ผู้นำของ SPLM เป็นรองประธานาธิบดีคนที่หนึ่ง จัดตั้งรัฐบาลผสมระหว่างพรรค National Congress Party (NCP) ของรัฐบาลและกลุ่ม SPLM ภายใต้ชื่อ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (Government of National Unity: GNU) แบ่งรายได้จากการส่งออกน้ำมันระหว่างฝ่ายเหนือและใต้ในอัตราส่วนร้อยละ 50:50 และให้ฝ่ายใต้มีอำนาจปกครองตนเอง (autonomy) เป็นเวลา 6 ปี ก่อนจะให้ประชาชนลงประชามติเลือกอนาคตของตนเองในปี 2554

ความขัดแย้งในดินแดนดาร์ฟูร์ ในปี 2546 ความขัดแย้งในดินแดนดาร์ฟูร์ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของซูดานได้ปะทุขึ้น เนื่องจากกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาลซูดาน โดยได้โจมตีสถานที่ราชการต่าง ๆ โดยกลุ่มต่อต้านนี้ประกอบไปด้วย 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่ม Sudan Liberation Army (SLA) และกลุ่ม Justice and Equality Movement (JEM) รัฐบาลได้ตอบโต้โดยส่งกองทหารเข้าไปโจมตีกลุ่มต่อต้านดังกล่าว และเหตุการณ์ความขัดแย้งทวีความตึงเครียดมากขึ้นเมื่อกองกำลังติดอาวุธ Janjaweed ซึ่งเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบในบริเวณดินแดนดาร์ฟูร์และฝั่งตะวันออกของชาด ได้เข้าร่วมโจมตีกลุ่มต่อต้านอื่นๆ ในดินแดนดาร์ฟูร์ รวมทั้งเข้าไปโจมตีหมู่บ้าน สังหารชาวซูดาน กระทำชำเราผู้หญิงและลักทรัพย์ การประทะกันระหว่างกลุ่มต่อต้านรัฐบาลกับรัฐบาลซูดานตลอดช่วงที่ผ่านมาทำให้ มีผู้เสียชีวิตแล้วถึง 300,000 คน โดยส่วนมากเกิดจากการขาดอาหารและการเจ็บป่วย และอีกกว่า 2.7 ล้านคนที่พลัดที่อยู่อาศัย

ในช่วงกลางปี 2547 สหประชาชาติ สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปต่างเรียกร้องให้ซูดานพยายามระงับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในดา ร์ฟูร์ และรัฐบาลซูดานได้ให้คำมั่นสัญญาแก่สหประชาชาติว่าจะแก้ไขปัญหาความขัดแยง แต่สถานการณ์ต่างๆ กลับทวีความรุนแรงขึ้น สหประชาชาติจึงส่งคณะเจ้าหน้าที่เข้าสำรวจพื้นที่เพื่อประเมินความรุนแรงของ สถานการณ์ และในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) รับรองข้อมติ UNSC ที่ 1564 (2006) มอบหมายให้กองกำลังสหภาพแอฟริกาที่รับผิดชอบภารกิจสหภาพแอฟริกาในซูดาน (African Union Mission in Sudan: AMIS) เข้าไปดูแลความมั่นคงและรักษาความปลอดภัยในดินแดนดาร์ฟูร์ แต่ภารกิจดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นและขยายตัวไปยังพรมแดนระหว่าง ดาร์ฟูร์และชาด ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างชาดและซูดานเลวร้ายลง เพราะต่างฝ่ายเชื่อว่ารัฐบาลของฝ่ายตรงข้ามให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏในชาติของ ตน จนเกิดการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปี 2549 นอกจากนี้ ความรุนแรงได้เพิ่มความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเมื่อกลุ่ม Lord's Resistance Army (LRA) ที่ก่อความไม่สงบในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเข้าร่วมโจมตีกลุ่ม SPLA ในขณะที่กลุ่มต่อต้าน LRA ในยูกันดาและรัฐบาลคองโกได้ให้ความช่วยเหลือทางทหารกับ SPLA

จากสถานการณ์ที่เลวร้ายลงส่งผลให้ที่ประชุม UNSC พิจารณารับรองข้อมติ UNSC ที่ 1769 (2007) เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2550 จัดตั้งภารกิจรักษาสันติภาพผสมระหว่างสหภาพแอฟริกาและสหประชาชาติในดาร์ฟูร์ (AU/UN Hybrid Operation in Darfur: UNAMID) เพื่อรักษาความสงบในดาร์ฟูร์ ดูแลปกป้องพลเรือน ชาวดาร์ฟูร์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่สหประชาชาติให้อยู่ในความปลอดภัย การเข้าวางกำลังของภารกิจ UNAMID ทำให้สถานการณ์ในดาร์ฟูร์ทรงตัว แต่การโจมตีกลุ่มต่าง ๆ เกิดเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นการปะทะกันระหว่างกองกำลังของรัฐบาลกับกลุ่มต่อต้าน การโจมตีและปล้นยานพาหนะและทรัพย์สินขององค์การให้ความช่วยเหลือ ทางมนุษยธรรมต่างๆ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความพยายามในการเจรจาสันติภาพระหว่างฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มกบฏ โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2550 ลิเบียพยายามจัดการเจรจาสันติภาพที่เมือง Sirte ในลิเบีย แต่ประสบความล้มเหลว เนื่องจากกลุ่มกบฏต่างๆ ไม่ยอมรับลิเบียซึ่งถูกมองว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลของ ประธานาธิบดี Omar Hassan Ahmed al-Bashir และระหว่างวันที่ 11-14 กุมภาพันธ์ 2552 นาย Khalil Ibrahim ผู้นำ JEM กับ นาย Nafie Ali Nafie ที่ปรึกษาคนสนิทของนาย Bashir ได้พบหารือกัน ณ กรุงโดฮา เพื่อเจรจาหาทางยุติความขัดแย้งในดาร์ฟูร์ และทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงสันติภาพว่าด้วย การยุติการใช้ความรุนแรงอย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมากลุ่ม JEM กล่าวหารัฐบาลซูดานว่าไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงและทั้งสองฝ่ายหันกลับมาปะทะกัน โดยในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่ม JEM เริ่มการสู้รบเพื่อแย่งยึดพื้นที่ในดาร์ฟูร์ตะวันตกกับกองทัพของรัฐบาล ความรุนแรงที่เกิดขึ้นส่งผลให้มีการผลักดันการเจรจาสันติภาพกันอีกครั้ง

บทบาทของประธานาธิบดี Omar Hasan Ahmadal- Bashir ในปี 2532 Lt. Gen Omar Hassan Ahmed al-Bashir ซึ่งเป็นผู้นำทหารกลุ่ม Islamist ได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากนาย Nimeiry และจัดตั้งแนวร่วมอิสลามมิกแห่งชาติ (National Islamic Front) โดยให้การสนับสนุนกลุ่มอิสลามมิกหัวรุนแรงในแอลจีเรียและการรุกรานคูเวตโดย อิรัก ทำให้กรุง Khartoum ถูกจับตามองว่าเป็นฐานกำลังทหารของกลุ่มอิสลามิกหัวรุนแรงและผู้ก่อการ ร้ายอย่าง Osama Bin Laden's al Qaida ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแหล่งให้ที่หลบภัยแลกกับการให้หารสนับสนุนทางการเงินกับ รัฐบาล ในปี 2539 สหประชาชาติได้ทำการคว่ำบาตรซูดานในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร นาย Mubarak ประธานาธิบดีของอียิปต์

ปัจจุบันนาย Bashir ยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนปัจจุบันของซูดานและรัฐบาลของนาย Bashir กำลังเผชิญหน้ากับความมั่นคงทางการเมือง เนื่องจากปัญหาในดินแดนดาร์ฟูร์ส่งผลกระทบต่อ ซูดานทั้งประเทศ นอกจากนี้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างซูดานเหนือและซูดานใต้ ยังส่งผลต่อการจัดการทรัพพยากรน้ำมันที่เป็นรายได้หลักของประเทศ

นโยบายปัจจุบันของรัฐบาลนาย Omar al-Bashir เน้นประชานิยมในภาคเหนือ ซึ่งเป็นฐานเสียงของนาย Bashir โดยทางการจะดำเนินการให้ทุนสนับสนุน และตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญๆแก่หัวหน้าพรรคการเมืองที่สำคัญๆ ทั้งนี้นโยบายของรัฐบาลยังเน้นไปที่การให้ผลประโยชนืแก่กลุ่มทางธุรกิจ กองกำลังทหารและด้านความมั่นคงเป็นหลัก

จากความขัดแย้งในดาร์ฟูร์ส่งผลให้นาย Bashir ถูกคณะผู้พิพากษาศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court: ICC) พิจารณาออกหมายจับพิพากษาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2552 โดยมีความผิดตามคำฟ้องจำนวน 7 ข้อหา ในความผิดฐานก่ออาชญากรรมสงคราม และการกระทำอันเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ (war crimes and crimes against humanity)

การประกาศออกหมายจับนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่รัฐบาลซูดานและประชาชนที่สนับ สนุนนาย Bashir และเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2552 รัฐบาลซูดานได้ตอบโต้โดยการขับไล่เจ้าหน้าที่ขององค์กรระหว่างประเทศที่ให้ ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม จำนวน 13 องค์กร ออกจากซูดาน และประกาศเป้าหมายจะขับไล่องค์กรพัฒนาเอกชนที่เหลืออีก 73 หน่วยงานออกจากซูดานภายใน 1 ปี ทางด้านสหภาพแอฟริกา (African Union) สันนิบาตอาหรับ (The Arab League) และองค์การการประชุมอิสลาม (Organization of Islamic Conference: OIC) รวมทั้ง NAM ต่างไม่เห็นด้วยกับการออกหมายจับนี้ (แม้ว่าจะมีบางประเทศในกลุ่ม NAM ออกมาไม่เห็นด้วยกับท่าทีดังกล่าว โดยเฉพาะบอตสวานา)